ข่าว


วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

ดอกเบี้ยที่เกิดจากการฝากเงินในธนาคาร เป็นที่อนุมัติสำหรับมุสลิมหรือไม่ ในการไปทำบุญ เพราะเหตุใด?

ดอกเบี้ยที่เกิดจากการฝากเงินในธนาคารไม่เป็นที่อนุมัติสำหรับมุสลิม ซึ่งการได้รับดอกเบี้ยตามปกติในธนาคารทั่วไปนั้นรับมาไม่ได้อยู่แล้วตั้งแต่ต้น

แต่มีนักวิชาการ 3 กลุ่ม ซึ่งมีทรรศนะที่ต่างกันแบ่งเป็น 3 ทรรศนะด้วยกัน ทรรศนะของกลุ่มแรกคือ รับดอกเบี้ยไม่ได้เด็ดขาด มีความหมายว่าไม่ว่าจะเป็นการฝากในธนาคารเฉยๆ หรือการฝากเงินในธนาคารแล้วการได้รับดอกเบี้ย และการนำดอกเบี้ยไปทำบุญหรือนำเอามาใช้ทำอย่างอื่นไม่ได้เด็ดขาด แม้แต่การรับดอกเบี้ยยังไม่ได้เลย

ส่วนทรรศนะของนักวิชาการกลุ่มที่สอง นักวิชาการได้อธิบายว่า สามารถฝากเงินในธนาคาร และดอกเบี้ยที่ได้จากธนาคารสามารถเอามาได้ แล้วก็สามารถเอาไปทำบุญได้ด้วย ซึ่งทรรศนะนี้เป็นทรรศนะที่มีน้อยมาก ส่วนทรรศนะสุดท้าย นักวิชาการได้อธิบายว่า เอกดอกเบี้ยจากธนาคารได้ แต่อย่านำเงินดอกเบี้ยจำนวนนั้นมาใช้จ่ายภายในครอบครัว ควรนำไปใช้ในส่วนสาธารณะประโยชน์ เช่น นำเอาไปใช้ในการสร้างถนน สร้างกำแพง สร้างศาลาต่างๆ ได้ เพราะมิฉะนั้นแล้ว ถ้าเราบอกว่าเราไม่เอา คนในธนาคารก็จะเอาดอกเบี้ยไปใช้เอง

อาจารย์ซารีฟยังแสดงความคิดเห็นในทรรศนะที่สามว่า "ผมยังถือว่ากรณีที่สามมันยังจำเป็น ที่เราสามารถเอาเงินที่เป็นดอกเบี้ยไปใช้สร้างสาธารณะประโยชน์ แต่เวลา ณ วันนี้ เรามีธนาคารอิสลามแล้ว ถ้าหากใครีไม่มีทางเลือก ซึ่งเงินที่เขาเคยฝากอยู่ไม่ได้ฝากภายใต้ธนาคารอิสลามก็สามารถเอาเงินดอกเบี้ยนำมาใช้สาธารณะประโยชน์ได้ แต่อย่าเอามาใช้ภายในครอบครัวเด็ดขาด

ทรรศนะที่สาม ที่กล่าวมานั้น ไม่ใช่ทรรศนะที่ได้รับการอนุมัติ แต่สามารถนำมาทำให้เบาบางลง ซึ่งกล่าวได้ว่า ดอกเบี้ยที่ได้นั้น มันเป็นดอกเบี้ยที่ได้มาตามปกติโดยทั่วไปอยู่แล้ว จากการที่เราฝากธนาคารนั้นเอง แล้วนำมาใช้ประโยช์จะดีกว่า

ทรรศนะจาก Blogger "ณ ปัจจุบันนี้ประเทศไทยหรือสังคมคนไทยเองนั้นก็มีการก่อตั้งธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยขึ้นมาแล้ว การที่เราจะฝากเงินไว้ควรที่พวกเราชาวมุสลิมทั้งหลายฝากเงินกับธนาคารที่เป็นแนวทางอิสลาม ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม ในเมื่อการที่เรานั้นมีหนทางเลือกแล้วทำไมเราต้องไปดิ้นรนหาหนทางที่ไม่แน่นอน ที่ไม่ชัดเจนหรือหนทางที่ไม่ได้รับการรองรับด้วยอั้ลฮาดิษจากบรรดาซอหะบะฮฺ ผู้รายงานเรื่องต่างๆ ที่ท่านนบีทรงปฏิบัติล่ะครับ"


kbac : รายงาน
เนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

KBAC : วันที่ "Socail Network" ปลุกศรัทธามุสลิมตอนจบ

อย่างไรก็ดี เราคงพึ่งเจ้าของโซเชียลเน็ตเวิร์กให้กระทำต่างๆ ไม่ได้อยู่ดี สิ่งที่ดีที่สุด คือ เราต้องสร้างเกราะคุ้มกันให้สังคมอิสลาม สร้างเกราะคุ้มกันให้กับเยาวชนมุสลิมทุกคน ท่ามกลางการเจริญรุดหน้าของโลกใบนี้ เราคงหนีไม่พ้นที่จะต้องเจอกับการต้องผจญกับคนที่ต่อต้านอิสลามและบิดเบือนอิสลาม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความรู้ศาสนากับลูกๆ หลานๆ ของเรา ซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่ใช่แค่เก็บไว้ในสมองว่ารู้ แต่ต้องถูกนำมาปฏิบัติและถูกนำออกมาเผยแพร่ให้บุคคลอื่นๆ ชักชวนกันสู่หนทางแห่งอิสลาม หนทางสู่การตอนแทนแห่งโลกหน้าโลกอาคิเราะห์ ในขณะที่มีคนใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กทำลายล้างคุณธรรมความดี เราก็ต้องใช้มันนี่ละ ซึ่งมันมีประโยชน์อยู่มาก มาใช้ในการเผยแพร่อิสลามที่สวยงาม ดีงาม ถูกต้องสู่คนทั่วโลก เช่น กลุ่มนักวิชาการหรือนักเคลื่อนไหวด้านศาสนาต่างๆ ควรหันมาใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในการดะวะห์ ตับลีฆ เชิญชวนคนทำอะม้าลอิบาดะห์ อาจจะสื่อสารผ่านทวิตเตอร์หรือเฟซบุ๊คก็ได้ ซึ่งจะทำให้เราสื่อสารได้กับคนจำนวนมากดังนั้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นมีผลต่อความคิดของคนในสังคมออนไลน์

ส่วนมันจะสะท้อนหรือชักจูงให้คนคิดเช่นไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ทุกคน และวิจารณญาณในการรับรู้เข้าใจข้อมูลของแต่ละคนที่เข้าไปอ่านหรือเข้าไปเล่น และที่สำคัญที่สุด ทุกอย่างมันมีกรอบ มีขอบเขตของมันในเสรีภาพที่หลายๆ คนกล่าวอ้างนั้น มันก็ต้องไม่ไปละเมิดเสรีภาพคนอื่นเช่นกัน นั่นก็เป็นหน้าที่หลักของเจ้าของที่สร้างเครื่องมือเหล่านี้ขึ้นมาจะต้องตรวจสอบเนื้อหาบนเว็บให้ดี ไม่ใช่ช่วยตรวจสอบแต่กลุ่มธุรกิจเพลงกับหนัง

สิ่งที่เป็นผลประโยชน์อย่างมากอนันต์ ก็ กลับกลายมาเป็นโทษอย่างมหันต์ได้ในพลิบตาเหมือนกัน ความคิดความศรัทธาความเชื่อมั่นเราไม่สามารถสั่งการได้ อยู่ที่ความตระหนักเห็นว่าสิ่งไหนควรเชื่อ สิ่งไหนไม่ควรเชื่อ และเชื่ออย่างมีเหตุมีผลเชื่ออย่างใช้เหตุการณ์ประกอบการคิดใตร่ตรอง คนที่คิดที่ทำอย่างนี้ต่างหาก คือ กลุ่มคนที่ฉลาด

ช่วยกันคนละไม้คนละมือ...ในการสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้ศาสนาอิสลามดำรงอยู่ได้ และจะต้องเจริญต่อไปบนความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมือง
วัสลาม


KBAC : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์กัมปงไทย ประจำเดือนยะมาดิลอาเคร-รอยับ 1431

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

KBAC : วันที่ "Social network" ปลุกศรัทธามุสลิมตอนที่สอง

ทั้งนี้หน้าเฟซบุ๊คดังกล่าวมีสมาชิกติดตามถึงแสนคนและมีภาพเข้าประกวดมากถึง 5 หน้า แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มมุสลิมที่ทนไม่ได้กับการกระทำอันดูหมิ่นนบี กลุ่มมุสลิมกลุ่มนี้จึงได้สร้างเฟซบุ๊คโดยใช้ชื่อว่า "ต่อต้านวันที่ใครๆ ก็วาดภาพมูฮัมหมัดได้" ซึ่งได้รับความนิยมมากมายเช่นกัน มีสมาชิกติดตามมากถึงแสนกว่าคน จากกระแสต่อต้านเฟซบุ๊คจากประชาชนปากีสถานทางรัฐบาลปากีสถานจึงตัดสินใจบล็อกเว็บเฟซบุ๊คปิดการเชื่อมต่อกับเฟซบุ๊ค ส่งผลให้คนปากีสถานไม่สามารถเข้าเฟซบุ๊คได้

ทางด้านผู้บริหารเฟซบุ๊คก็รู้สึกไม่สบายใจต่อการตัดสินใจตัดการเชื่อมต่อเฟซบุ๊คในปากีสถาน เพราะว่า ปากีสถานมีประชากร 170 ล้านคน ชาวปากีสถานเล่นเฟซบุ๊คมากถึง 2.5 ล้านคน ไม่ใช่เฟซบุ๊คเท่านั้นที่โดนปิดในปากีสถาน ในส่วนของเว็บยูทูบก็เช่นกันได้ถูกปิดไปด้วยเพราะมีคลิดวีดีโอเป็นจำนวนมากที่มีเนื้อหาดูหมิ่นอิสลามและท่านนบี

โซเซียลเน็ตเวิร์กมีทั้งคุณและโทษ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้นำไปใช้ว่าใช้ถูกวิธีหรือไม่ ถ้าจะเปรียบเทียบไปแล้วนั้น โซเซียลเน็ตเวิร์กก็เหมือนกับกระดานสำหรับปิดประกาศต่างๆ ที่ไม่ได้ใส่กุญแจล็อกใดๆ ใครๆ ก็สามารถมาปิดประกาศอะไรก็ได้ตามใจชอบ การที่มีผู้มาปิดประกาศที่มีเนื้อหาโจมตีหรือดูหมิ่นศาสนา สถาบันต่างๆ ตลอดจนเนื้อหาที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศนั้นถือเป็นความรับผิดชอบและสามัญสำนึกของเจ้าของกระดานดังกล่าว ที่จะต้องคอยตรวจสอบกระดานของตัวเองและเมื่อเห็นข้อความที่ไม่ดีหรือทำให้คนอื่นเสียหายก็ควรถอดข้อความนั้นๆ ออก ส่วนใหญ่แล้วเจ้าของเว็บโซเซียลเน็ตเวิร์กเหล่านี้มักไม่ค่อยให้ความสำคัญเรื่องการตรวจสอบข้อความที่ดูหมิ่นหรือละเมิดผู้อื่น ยกตัวอย่าง เช่น เว็บยูทูบนั้นมีการตรวจสอบวีดีโอที่คนโพสต์มา หากเขาพบว่ามีใครโพสต์วีดีโอที่เกี่ยวกับเพลงหรือภาพยนตร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ยูทูบจะทำการถอดวีดีโอดังกล่าวทิ้งเลย

แต่เมื่อเขาเห็นวีดีโอที่มีเนื้อหาหมิ่น ดูถูกเหยียดหยามทางศาสนา เขากลับทำเมินเฉย ไม่ถอดออก เช่น เดียวกับเฟซบุ๊คที่ปล่อยให้มีคนโพสต์ข้อความดูถูกศาสนาทั้งพุทธ คริสต์ อิสลามล้วนแล้วมีผู้ดูถูกทั้นั้นในกลุ่มสังคมออนไลน์ จึงเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของเจ้าของเว็บต่างๆ ที่จะต้องตรวจสอบเนื้อหาที่ได้ปล่อยให้มีการเขียนได้อย่างอิสระ
(อ่านต่อตอนหน้า)


KBAC : รายงาน
ขอขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์กัมปงไทย ประจำเดือนยะมาดิลอาเคร-รอยับ 1431

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

KBAC : วันที่ "Social network" ปลุกศรัทธามุสลิม ตอนแรก

เหล่าบรรดาสาวกไซเบอร์ นักท่องอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เฟซบุ๊ค (facebook.com) ทวิตเตอร์ (twitter.com) ยูทูบ (youtube.com) อีกทั้งบล็อกและเว็บบอร์ดอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งหมดนี้เป็นของเล่นของนักเล่นอินเตอร์เน็ต เป็นสังคมออนไลน์ที่สามารถเข้าไปเขียนหรืออ่านเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างอิสระ และใคๆ ก็ขนานนามเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "โซเซียลเน็ตเวิร์ก" (Social Network)

ของเล่นเหล่านี้ถูกพัฒนาให้กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบทบาททางการเมือง ตัวอย่างเช่น ทักษิณใช้ทวิตเตอร์ในการสื่อสารกับเหล่าบรรดาสาวก นายกอภิสิทธิ์ใช้ทั้งทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คในการสื่อสารกับแฟนคลับ หมอตุลย์ใช้เฟซบุ๊คในการร้างเครือข่ายสนับสนุนการทำงานของนายกภายใต้ชื่อ "มั่นใจคนไทยเกิน 1 ล้านคน ต่อต้านการยุบสภา" นอกจากนี้ประโยชน์ของโซเซียลเน็ตเวิร์กไม่ได้มีไว้สำหรับนักการเมืองเท่านั้น แต่เหล่าบรรดาศิลปินนักร้อง นักแสดง ต่างก็ใช้มันสื่อสารและประชาสัมพันธ์ผลงานตัวเองกับประชาชน อีกทั้งยังมีกลุ่มผู้ประกอบการจำนวนมากเลือกใช้โซเซียลเน็ตเวิร์กทั้งทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คในการประชาสัมพันธ์แคมเปญหรือโปรโมชั่นใหม่ๆ เป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาดอีกช่องทางหนึ่ง ที่สำคัญคือฟรีไม่เสียเงิน จะเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ของโซเซียลเน็ตเวิร์กส่วนหนึ่งเท่านั้น

ยังมีคนอีกจำนวนมากที่เลือกใช้โซเซียลเน็ตเวิร์กมาใช้ประโยชน์ต่างๆ นานา แต่ก็ใช่ว่ามันจะให้คุณเพียงอย่างเดียว ได้มีคนจำนวนหนึ่งใช้โซเซียลเน็ตเวิร์กเป็นอาวุธละเมิดและโจมตีคนอื่น ยกตัวอย่างเช่น ที่เป็นข่าวใหญ่โตที่การจับกุมคนเล่นเฟซบุ๊คที่โพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ทาง ศอฉ. (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) จึงได้ทำการปิดหน้าเฟซบุ๊คของหน้าเพจนั้นเอาไว้ให้เปิดไม่ได้ และด้วยการใช้งานที่อิสระของโซเซียลเน็ตเวิร์กเหล่านี้ จึงมีผลให้คนจำนวนมากที่มีความเข้าใจในอิสลามผิดๆ รวมทั้งผู้ไม่หวังดี ได้ใช้โซเซียลเน็ตเวิร์กในการปลุกระดมโจมตีให้คนทั่วไปเกลียดชังมุสลิมและใช้เป็นช่องทางในการดูหมิ่นศาสนาและท่านนบีมูฮัมหมัด (ซล.)

ล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ชาวปากีสถานจำนวนมากได้ออกมาเดินประท้วงตามท้องถนน ไม่พอใจเฟซบุ๊คที่เผยแพร่เนื้อหาของชาวตะวันตกกลุ่มหนึ่ง ที่ใช้เฟซบุ๊คเป็นเครื่องมือในการจัดประกวดวาดรูปภาพหมุ่นท่านนบี โดยคนใช้เฟซบุ๊คกลุ่มนี้จัดการประกวดในหัวข้อที่ว่า "วันที่ใครๆ ก็วาดภาพมูฮัมหมัดได้" ชาวตะวันตกกลุ่มนี้อ้างว่า เป็นการส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออกและได้แรงบันดาลใจจากนักวาดการ์ตูนเสรีชาวอเมริกัน เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อพลังศรัทธาในคนปากีสถานอย่างมากมายมหาศาล นักศึกษาและนักวิชาการอีกทั้งประชาชนรวมตัวกันหลายพันคนชุมนุมเรียกร้องให้คว่ำบาตรเฟซบุ๊คและให้จับกุมผู้เผยแพร่การ์ตูนล้อเลียนนบีมาดำเนินคดี
(อ่านต่อตอนหน้า)


KBAC : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์กัมปงไทย ประจำเดือนยะมาดิลอาเคร-รอยับ

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

KBAC : "ปวดหัว ปวดหัว" เรื่องน่ารู้ (ช่วงจบ)

ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ปวดศีรษะแบบนี้มักไม่มีไข้ ไม่มีความดันสูงร่วมด้วย เพราะถ้าหากมีไข้การปวดหัวก็น่าจะมาจากอาการไข้นั้น ก็ต้องต้องรักษาไข้นั้นไปตามสาเหตุ หรือถ้ามีความดันสูงร่วมด้วย ก็ต้องคิดเสมอว่าน่าจะมาจากความดันสูง ก็ต้องรักษาความดันให้ลดลงก่อน เพราะอาการที่มีร่วมนั้นเป็นอาการที่สำคัญกว่าตัวอาการปวดหัวเอง อาการปวดหัวจากความดันสูงมักปวดตื้อๆ แน่นๆ ที่หัว เหมือนหัวจะระเบิด บางครั้งจะมีอาการอาเจียนพุ่ง โดยไม่มีคลื่นไส้มากก่อน อย่างนี้ถือว่าความดันในสมองกำลังขึ้นสูงมาก ต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

อาการปวดหัวอีกชนิดหนึ่งที่มีอาการคล้ายกับปวดหัวที่เกิดจากความดันสูง ก็คือ อาการปวดหัวจากมีก้อนเนื้องอกในศีรษะ ลักษณะการปวดจะเป็นเช่นเดียวกันแต่จะปวดตอนตื่นนอนเช้าๆ และปวดติดต่อกันเป็นอาทิตย์ๆ เป็นเดือนๆ อาการเช่นนี้ ไม่ควรรอเป็นเดือนๆ แต่ต้องรีบไปพบแพทย์เสียตั้งแต่อาทิตย์แรกๆ เลยจะดีที่สุด

ผู้ที่ติดชากาแฟ เวลาเริ่มถือศีลอดในเดือนรอมฎอนในสองสามวันแรก มักจะมีอาการปวดหัวคล้ายกับความดันในสมองสูงเช่นกัน เกิดจากการขาดคาเฟอีนที่เคยทำให้เส้นเลือดตีบ เมื่อขาดไปเส้นเลือดจะขยายตัวมากขึ้น กินที่มากขึ้น ความดันในสมองจึงเพิ่มขึ้น พวกนี้พอได้ดื่มกาแฟสักแก้วก็จะหายไปเอง หรือถ้าทนเอาสักสองสามวัน ก็หายไปได้เช่นกัน

อาการปวดหัวที่ไม่เข้ากับกลุ่มใดๆ และผู้ป่วยอธิบายไม่ถูกไม่เหมือนกันสักครั้ง ตรวจอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรผิดปกติ อาจจะเป็นโรคอ้อน มักพบในเด็กหรือคนวัยทำงานในวันจันทร์ซึ่งเป็นวันเริ่มเรียนเริ่มทำงานพอวันศุกร์จะอาการดีขึ้น และเสาร์อาทิตย์จะหายเป็นปลิดทิ้ง พวกนี้ต้องแก้โดยการไม่สนใจอาการปวดหัวนั้นผู้ป่วยก็จะเลิกปวดไปเอง แต่ต้องระวังว่าไม่ใช่ทุกหนจะเป็นเช่นนั้น เพราะบางครั้งอาจจะเป็นเรื่องจริง และกลายเป็นโรคร้ายแรงได้ ดังนั้นแม้ภายนอกจะไม่ใส่ใจแต่ในใจก็ยังต้องคอยลอบสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงไว้เสมอ ถ้าสงสัยไม่แน่ใจก็คงต้องไปพบแพทย์ไว้ก่อนจะปลอดภัยกว่า

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หลายๆ ท่านก็คงจะหายปวดหัวไปได้มากแล้ว ก็อยากจะฝากหะดิษท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ไว้สักบทหนึ่งว่า

"จงอยู่ในโลกนี้ เสมือนหนึ่งท่านเป็นเพียงคนแปลกหน้า หรือผู้เดินทางผ่าน"

ดังนั้น อย่ายึดติดกับความเป็นไปของโลกนี้ให้มากนัก อย่าพยายามไปยังคับให้ทุกสิ่งในโลกเป็นไปตามที่เราคิด แต่จงทำเพียงเฝ้าดูความเป็นไป และปล่อยภาระหน้าที่ต่างๆ ในการดำเนินงานให้อยู่ในอุ้งหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า แล้วท่ายจะหายปวดหัวจากความเครียดได้ตลอดไป อินชาอัลลอฮฺ


KBAC : รายงาน
จากวารสารสุขสาระ ฉบับที่ 78 เดือน 2553

KBAC : "ปวดหัว ปวดหัว" เรื่องน่ารู้ (ช่วงแรก)

ในช่วงเวลานี้พวกเราคนไทยหลายๆ ท่านคงรู้สึกตื่นเต้น วิตกกังวล นอนไม่หลับไปกับสถานการณ์บ้านเมืองของเรา ที่กำลังปั่นป่วนอยู่บางท่านอาจจะถึงกับมีอาการเครียดปวดหัวตัวร้อนไปเลยก็เป็นได้ ดังนั้น วันนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับเรื่อง "โรคปวดหัว" ดูเพื่อจะได้รู้ว่าปวดหัวจากสถานการณ์บ้านเมืองหรือปวดหัวจากเรื่องอื่นเพื่อที่จะได้แก้ไขได้ทัน

ความจริง อาการปวดหัว หรือปวดศีรษะนั้นไม่ใช่โรค คือ มันไม่ใช่เป็นจากเชื้อโรคชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ หรือว่า มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกายเป็นแบบหนึ่งแบบใดโดยเฉพาะ แต่มันเป็นเพียงอาการของโรคหลายๆ โรคแตกต่างกัน ซึ่งแต่ละโรคนั้นก็จะวินิจฉัยได้ไม่เหมือนกัน รักษาก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ถ้าแพทย์ท่านใดพบผู้ป่วยที่มาด้วยโรคปวดศีรษะและรักษาเท่าใดก็ไม่หาย ผลสุดท้ายแพทย์ท่านนั้นก็คงจะต้องรู้สึกษปวดศีรษะแทนไม่มากก็น้อย เรียดได้ว่าอ่วมไปด้วยกันทั้งคนไข้และทั้งหมอผู้รักษา ที่เราใช้คำว่าโรค ก็จะให้ดูเป็นแบบชาวบ้านๆ เรียกกันแบบง่ายๆ แต่ทั้งนี้ต้องให้เข้าใจว่า มันไม่ใช่โรคแต่เป็นอาการแสดงของโรคใดโรคหนึ่งเพียงเท่านั้นเอง และแพทย์ผู้รักษาต้องเป็นผู้ที่วินิจฉัยออกมาให้ได้ว่า อาการปวดศีรษะนั้นเกิดจากโรคใดกันแน่จึงจะสามารถรักษาได้ถูกต้อง เพื่อจะได้ไม่ต้องไปปวดหัวร่วมกับคนไข้ไปด้วย

โดยมากแล้วโรคปวดศีรษะส่วนมากมักเป็นโรคง่ายๆ คือ ปวดศีรษะจากความเครียดหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า tension headache พวกนี้ อาการที่สำคัญคือ มักจะเริ่มปวดตอนสายๆ เนื่องจากเราจะได้รับข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์เข้ามาแล้วแก้ไขไม่ได้ กล้ามเนื้อต่างๆ ตามร่างกายก็จะหดเกร็งตัวขึ้น โดยเฉพาะที่บริเวณศีรษะ เราจึงรู้สึกปวดและเรียกมันว่า "ปวดศีรษะ" โดยมากมักปวดที่บริเวณขมับทั้งสองข้างหรือท้ายทอย เมื่อเราเอามือมากดๆ นวดๆ บริเวณที่ปวด จะรู้สึกผ่อนคลายสบายขึ้น เพราะนั่นคือการทำให้กล้ามเนื้อได้ยืดออก อาการปวดที่เกิดจากกล้ามเนื้อเกร็งตัวจึงลดลง ดังนั้น การปวดศีรษะจึงเป็นทั้งการวินิจฉัยและการรักษาไปด้วยในตัว ถ้ายังไม่หาย หรือยังไม่ดีขึ้น อาจจะใช้การประคบด้วยของอุ่นๆ ที่รอบๆ ศีรษะหรือตามด้วยยาแก้ปวดเช่น พาราฯ ก็ได้แต่บางครั้งถ้าเครียดมากๆ เช่น เพิ่งกลับจากประชุมคณะกรรมการต่างๆ หรือดูข่าวการเมืองมากไป เชียร์สีใดสีหนึ่งมากไป ฯลฯ อย่างนี้บางทีวิธีที่กล่าวมาแล้วมักจะเอาไม่อยู่ ก็คงต้องใช้ยาคลายกล้ามเนื้อรับประทานร่วมไปด้วย หรืออาจจะต้องเพิ่มยาคลายเครียดเข้าไปด้วยก็ได้ แต่ยาคลายเครียดจัดเป็นยาที่ต้องห้าม ต้องแพทย์สั่งเท่านั้นจึงมักจะเลี่ยงเป็นยาแก้แพ้ชนิดคลอเฟนิรามินแทน ซึ่งมีคุณสมบัติข้างเคียงคือทำให้ง่วงนอน นำมากินร่วมกันแล้วนอนให้หลับ ส่วนมากก็จะดีขึ้นเอง

สิ่งสำคัญที่จะทำให้ไม่กลับมาเป็นอีกก็คือ ต้องแก้ที่สาเหตุ ถ้าเป็นจากการรับข้อมูลข่าวสารที่ไม่ดี และเราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลข่าวสารนั้นได้ก็ควรหยุดการรับข้อมูลข่าวสารนั้นๆ เสีย ก็จะเป็นการดีที่สุด


KBAC : รายงาน
จากวารสารสุขสาระ ฉบับที่ 78 เดือน 2553

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

KBAC : ประกาศ+ประชาสัมพันธ์

เนื่องด้วยปัจจุบันนี้...หน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าเป็นจะหน่วยงานทางธุรกิจ หน่วยงานภาครัฐ ภาครัฐวิสาหกิจ องค์กรที่ไม่แสดงหาผลกำไร หรือไม่ว่าจะเป็นหน่วยใดก็ตามได้ให้ความสำคัญและเน้นหนักในเรื่องของเว็บไซต์มากขึ้น ด้วยเหตุผลในทางการประชาสัมพันธ์หน่วยงานหรือองค์กร เหตุผลการที่จะทำให้เป็นช่องทางของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การลดขั้นตอนในการทำงานที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนให้ง่ายต่อการดำเนินงาน

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เอง...ทางโรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจหรือ KBAC เองก็ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของเว็บไซต์ในด้านต่างๆ ที่มีต่อโรงเรียนฯ ทางเราจึงได้มีการจัดทำเว็บไซต์ขึ้น ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการด้านต่างๆ ใกล้ที่จะเสร็จสมบูรณ์พร้อมเป็นช่องทางในการติดต่อ หาข้อมูลของเราได้แล้ว เพียงแค่ท่านให้ความสำคัญกับเราให้ความเชื่อมั่นกับเราในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับเราด้วยการมอบอนาคตทางการศึกษาที่ดีแก่บุตรหลานของท่านด้วยระบบการศึกษาที่ดีและมีประสิทธิภาพของเราไว้วางใจ KBAC สิ

แล้วพบกัน...ณ..."http://www.kba.ac.th".....นะครับ


ฝ่ายประชาสัมพันธ์
KBAC
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

"คุณค่าของการสร้างมัสยิด" โดยอาจารย์ศอดิกีน อัลดุลบารีย์

มัสยิดเป็นศาสนสถาน เป็นที่ประกอบอามัลอิบาดะฮฺ เป็นศูนย์รวมของชุมชน และเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของอิสลามเป็นไปไม่ได้ที่อิสลามจะไม่มัสยิด จึงเป็นเรื่องสำคัญที่แต่ละกัมปงต้องข่วยกันสร้างมัสยิดขึ้นมา ผู้มีส่วนร่วมสร้างแม้เพียงพื้นที่เท่านกวางไข่ อัลลอฮฺก็จะทรงสร้างบ้านในสวรรค์ให้แก่เขา และสิ่งสำคัญที่ไม่น้อยไปกว่า คือ การบำรุงรักษาและหมั่นมาเยือนมัสยิดเป็นประจำ มิใช่สร้างไว้เพียงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ประจำกัมปงเท่านั้น


KBAC : รายงาน
ขอขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

"คุณค่าของการสร้างมัสยิด" โดยอาจารย์จรูญ ลงสุวรรณ

ที่ปรึกษาฝ่ายสตรีและเยาวชนมูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย

มัสยิดถือว่าเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะสำหรับศาสนาอิสลาม มัสยิดเป็นศูนย์กลางหรือบางคนอาจจะกล่าวว่าเป็นบ้านของพระเจ้า (อัลลอฮฺ) จริงๆ แล้วก็คือ เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์หรือคนที่อยู่บนโลกนี้ระหว่างคนกับพระเจ้า สิ่งที่จะสื่อถึง คือ มัสยิดนั่นเอง และมัสยิดที่สำคัญๆ คือมัสยิดที่มักกะห์และมาดีนะห์ หรือบ้านเราในชุมชน คือ มัสยิดในชุมชนก็เป็นที่รวมตัวกันของสัปบุรุษในแต่ละที่เพื่อเข้ามาทำอิบาดะฮฺ ผู้ชายบรรดามุสลีมีน ต้องมาละหมาดรวมกันเป็นสิ่งจำเป็น และเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมที่ทำร่วมกันของคนภายในชุมชน สังคม เช่นวันฮารีรายาทั้งอีดิ้ลฟิตรีและอีดิ้ลอัฎฮา เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ให้ความรู้ด้านศาสนา ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญเป็นแกน ศูนย์กลางให้กับชุมชน อย่างที่กล่าวมาแล้วว่ามัสยิดเป็นสิ่งจำเป็นในชุมชน แต่ปัจจุบันอาจจะเกิดขึ้นด้วยเจตนาของคนในชุมชนหลากหลายแนวความคิดที่มีการสร้างมัสยิดเพิ่มขึ้น บางครั้งเกิดจากการขัดแย้งซึ่งจริงๆ แล้วในอิสลามมีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้นแต่วิถีชีวิต แนวคิดของคนในสังคมย่อมต่างกัน แต่แท้จริงแล้วคือเราทำเพื่อพระเจ้า เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งจำเป็น คือ ในตัวของทุกคน คือ ความมีอิหม่านของแต่ละคน และอีกอย่างที่สำคัญ คือเราควรเน้นถึงความสะอาดและสิ่งแวดล้อมภายในหรือรอบๆ มัสยิด เพราะความสะอาดถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธา ฉะนั้นแล้วจำเป็นอย่างยิ่งบนเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันรักษาดูแลด้านความสะอาด สิ่งแวดล้อมรอบข้าง พัฒนาและควรให้ความสำคัญกับมัสยิดให้มาก


KBAC : รายงาน
ขอขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

"คุณค่าของการสร้างมัสยิด" โดยอาจารย์อัลดุลวาเฮด หวังประโยชน์

มัสยิดมีบทบาทต่อการดำรชีวิตของมุสลิมเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ที่ท่านนบี ศอลฯ ได้ใช้มัสยิดเป็นศูนย์กลางการบัญชาการเรื่องศาสนา ก็สามาถเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนในอดีตให้มีคุณธรรมได้เป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากมัสยิดจะเป็นสถานที่ละหมาดที่ให้ผลบุญมหาศาลแล้ว ยังสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้อีกมากมาย  แม้เพียงแค่เข้าไปนั่งพักผ่อน อ่านอัล-กรุอานก็เกิดประโยชน์กับผู้ศรัทธาแล้ว มัสยิดยังเป็นที่มาของการเข้าสวรรค์ของผู้ศรัทธาอีกด้วย หากผู้ศรัทธาเข้าใจในคำสอนของท่านนบีที่ว่า "ผู้ใดสร้างมัสยิดเพื่อหวังความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ ซบ. อัลลอฮฺจะสร้างบ้านให้กับเขาหนึ่งหลังในสวรรค์" บุคอรี่ มุสลิม

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ให้เราแข่งขันกันสร้างมัสยิดให้ใหญ่โต แต่ไม่ผู้คนละหมาดจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของวันกิยามะฮฺที่มีแต่อาคารที่ใหญ่โตแต่ไร้คนละหมาดดังที่ท่านนบีศอลฯ ได้กล่าวว่า "หนึ่งในสัญญานวันกิยามะฮฺ คือ การแข่งขันกันสร้างมัสยิดใหญ่โต"

ดังนั้นมัสยิดมีความจำเป็นสำหรับชุมชนมุสลิมแต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการสร้างมัสยิด ก็คือ การสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นในใจคน พาคนให้เขามัสยิด และมัสยิดจะมีคุณค่า มีความสำคัญและเป็นประโยชน์มาก หากผู้ดูแลรู้และเข้าใจศาสนา แต่ถ้าหากว่าผู้ดูแลวันนี้อ่านอัล-กรุอานไม่ออก ไม่ละหมาด บ้านของอัลลอฮฺจะเป็นอย่างไร? ลองนึกดู!


KBAC : รายงาน
ขอขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

"คุณค่าของการสร้างมัสยิด" โดยคุณสมชาย แพจิตต์

อิหม่ามมัสยิดเนียะมะตุ้ลอิสลาม

มัสยิดที่อัลลอฮฺมิให้เราเข้าไปทำการละหมาด คือ มัสยิดที่สร้างขึ้นเพื่อให้ร้ายและยังอันตรายและสร้างความเดือดร้อน มัสยิดที่สร้างขึ้นเพื่อการปฏิเสธทรยศปิดบังซ่อนเร้นการร้าย มัสยิดที่สร้างขึ้นเพื่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างศรัทธาชน มัสยิดที่สร้างขึ้นเพื่อซ่องสุมกำลังเพื่อทำการรบกับอัลลอฮฺ โดยทางศาสนทูจของพระองค์ หากมัสยิดหนึ่งมัสยิดใดเข้าข่ายข้อหนึ่งข้อใดพระองค์ทรงห้ามศรัทธาชนที่จะเข้าไปทำละหมาดในนั้นตลอดไป ตามพระราชมัญญัติบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 มาตรา 23 หากจังหวัดใดมีมัสยิดไม่น้อยกว่าสามมัสยิดก็สามารถมีคณะกรรมการอสลามประจำจังหวัดได้ มีอยู่บ้างที่พยายามสร้างมัสยิดหลังที่สามขึ้นเพื่อให้เกิดคณะกรรมการอสลามประจำจังหวัดแต่มิได้เริ่มต้นด้วยบนความยำเกรง ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย บางทีก็สร้างมัสยิดขึ้นใหม่เพราะความเห็นไม่ลงรอยกัน เกิดจากการแตกแยก สิ่งเหล่านี้มิอาจปฏิเสธได้ว่ามีอยู่จริง ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการสร้างมัสยิดซึ่งเป็นของอัลลอฮฺนั้นจะต้องเริ่มต้นด้วยคำว่า "ตักวา" และสิ่งหนึ่งต้องคำนึงถึงการบำรุงรักษาหากเราสร้างตามความเหมาะสมการดูแลรักษา ก็ไม่เป็นภาระและเรื่องใหญ่ แต่ก็เป็นหน้าที่และภาระที่จะต้องดูแลรักษาและพัฒนามัสยิดของอัลลอฮฺดังพระทรงมอบหมายให้บุคคลที่มีลักษณธดังที่ว่า "อันที่จริง ที่จะทำการพัฒนาบูณะบรรดามัสยิดของอัลลอฮฺนั้น คือ ผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันสุดท้าย อีกทั้งดำรงการละหมาด บริจาคซะกาตและเขาไม่เกรงกลัวใครนอกจากอัลลอฮฺ ดังนั้นจึงหวังได้ว่าชนเหล่านี้แหละจะเป็นผู้ที่ได้รับการชี้นำ"


KBAC : รายงาน
ขอขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

"คุณค่าของการสร้างมัสยิด" โดยอิหม่ามยาห์ยา เฮนดี

(อิหม่ามประจำมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ประเทศสหรัฐอเมริกา)

การสร้างมัสยิดเป็นการยกระดับมนุษย์ต่ออัลลอฮฺ ถือว่าเป็นการเตรียมสวรรค์ไว้ในอนาคตสำหรับเรา มัสยิดก็คือสถานที่ที่เรามีความรู้สึกเหมือนบ้านของเรา เป็นแหล่งที่เราเรียนรู้ มีสันติเกิดขึ้น และมัสยิดก็ไม่ใช่แค่สถานที่ที่เราไปละหมาดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสถานที่ที่เราจะสร้างศักยภาพให้กับตัวเราเอง และเป็นการสร้างสรรค์สังคม เรียนรู้ รู้จักซึ่งกันและกัน มีความสัมพัฯธ์ที่ดีไม่เฉพาะแต่พระเจ้าแต่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนมนุษย์ด้วยเช่นกัน และไม่อยากให้คิดว่ามัสยิดเป็นแค่สถานที่ที่ละหมด 5 เวลาเท่านั้น แต่แน่นอนการละหมาด 5 เวลาก็มีความสำคัญมาก นอกจากนั้นแล้วมัสยิดก็ยังเป็นศูนย์กลางของชุมชน เพื่อที่จะให้ทุกๆ คน  ในครอบครัวและระหว่างครอบครัวได้มีความรู้จักกัน มาสังสรรค์กัน ซึ่งเหล่านี้จะได้รับการแพร่หลายในมัสยิดทั่วโลก และต้องการให้มัสยิดเป็นสถานที่เรียนรู้ถึงวัฒนธรรม คำว่า "สันติภาพ" และให้เราเรียนรู้ว่าเราจะต้องรักอะไร ปฏิบัติสิ่งไหน ยังไง ไม่เฉพาะผู้คนเพียงอย่างเดียวแต่จะรวมไปถึงสิ่งแวดล้อมทั้งหลายที่อยู่บนโลกที่เราควรจะรักสิ่งนี้และช่วยกันอนุรักษ์ไว้ครับ

KBAC : รายงาน
ขอขอบคุณเนื้อหาดีๆ  จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

"คุณค่าของการสร้างมัสยิด" โดยคุณวีระ สวัสดิ์มณี

(ผู้บริหารงานโรงแรมมุสลิมมืออาชีพ) การสร้างมัสยิดนับว่าเป็นผลบุญมหาศาล มัสยิดเปรียบเสมือนบ้านของพระผู้เป็นเจ้า เป็นจุดศูนย์รวมของคนในสังคมมุสลิม ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบคณงามความดีมาจบที่บ้านของอัลลอฮฺ (มัสยิด) ฉะนั้นถ้าหากเรามีความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นกำลังกาย กำลังทรัพย์ ที่จะช่วยกันสร้างมัสยิด นับว่าเป็นผลบุญที่ยิ่งใหญ่ เห็นว่ามุสลิมในชีวิตหนึ่ง ถ้าจะสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใด อยากให้มองไปที่บ้านของอัลลอฮฺเป็นอันดับแรก


KBAC : รายงาน
ขอขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

"KBAC : ประกาศ" เปิดภาคเีรียนที่ 2/2553

KBAC : Krabi Polytechnic And Business Administration Collage.
โรงเรียนกระบีโปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ

ประกาศเปิดภาคเรียนที่ 2/2553 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 ประกาศมา ณ วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน 2553

ฝ่ายวิชาการและฝ่ายประชาสัมพันธ์
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

"มะเร็งหลังโพรงจมูก" ช่วงที่ 3 (จบ)

การรักษา มีอยู่เพียงการฉายรังสี ร่วมกับการให้เคมีบำบัดเท่านั้น ส่วนการฝ่าตัดนั้น ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้เนื่องจากส่วนมาก พบในขณะที่มะเร็งกระจายตัวออกไปไกล และติดกับอวัยวะสำคัญๆ แล้ว เช่นตา สมอง เส้นเลือดใหญ่ เป็นต้น การผ่าตัดจึงมีบทบาทน้อยมาก นอกจากการผ่าตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ในระยะแรกเท่านั้นเอง

    ดังนั้นการระวังรักษาที่ดีที่สุด  ก็คือ  การหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้เป็นมะเร็งโพรงจมูก ได้แก่กลิ่นที่ไม่บังควรทั้งหลาย นั่นคือ บุหรี่ หรืออาหารหมักดอง เช่น ปลาเค็ม ปลาร้าเป็นเต้น

    อีกอย่างหนึ่งก็คือ การที่จะต้องตระหนักรู้ในสิ่งที่ผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ เช่นถ้าเราไม่เคยเป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน แล้วอยู่ๆ กลับมีอาการคัดจมูก อยู่นานๆ เป็นเดือนๆ ไม่ยอมหาย โดยไม่รู้สาเหตุ หรือมีน้ำมูก ออกมาปนเลือกทั้งๆ ที่ไม่ได้ไปแคะจมูกอะไร หรือมีอาการตาพร่า มองเห็นภาพซ้อนหรือหูอื้อไปโดยไม่มีสาเหตุ เมื่ออาการดังนี้แล้ว ควรต้องรีบไปพบแพทย์ดู เพื่อลองหาว่าเป็นอะไรที่ผิดปกติหรือเปล่า เพื่อที่จะได้แก้ไขได้ทันท่วงทีหรือผ่อนหนักเป็นเบาได้ พูดง่ายๆ คือ ต้องรู้จักตัวเราให้ดี และรู้ว่าเมื่อไรมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น และไม่ประมาทรับประทานอาหารธรรมชาติ และสดใหม่อยู่เสมอ และขอพรจากพระเจ้าให้เราห่างไกลจากสิ่งที่เลวร้ายต่างๆ เท่านั้นเองครับ วัสลามฯ

KBAC : Krabi Polytechnic And Business Administration Collage.
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ
ขอบคุณบทความจากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

"มะเร็งหลังโพรงจมูก" ช่วงที่ 2

     เนื่องจากเป็นส่วนของจมูกและต่อกับปากนี่เอง สาเหตุของมะเร็งชนิดนี้จึงเป็นที่เดาได้ว่าน่าจะเกิดจากพวกกลินต่างๆ ที่เราสูดดมเข้าไปเป็นหลัก ตามรายงานบอกว่า พบมากในพวกคนจีนตอนใต้ที่ชอบรับประทานอาหารหมักดองเป็นหลัก เช่น ปลาเค็ม, เนื้อย่าง, เนื้อเค็ม, ไส้กรอก, แหนม, ปลาร้า หรือส่งที่สูดดมเข้าไปเช่นบุหรี่ เป็นต้น มักพบได้ในคนหนุ่มสาวถึงวัยกลางคน

     อาการที่สำคัญก็จะเกี่ยวกับอวัยวะที่อยู่ใกล้เคียงนั่นเอง อาการเริ่มแรก คือ การที่มีน้ำมูกปนเลือกออกมาบ่อยๆ คัดแน่นจมูกตลอดทั้งปีทั้งชาติ หรือมีเสียงเปลี่ยนไปถ้าลามไปถึงหลอดยูสเตเชี่ยนก็จะกดทำให้หลอดตีบ ผู้ป่วยก็จะรู้สึกหูอื้อ เกิดหูอักเสบบ่อยๆ ถ้าลามออกไปโดนเส้นประสาท ก็จะเกิดอาหารเจ็บหรือชา บริเวณแก้มด้านที่เป็นมะเร็งนั้น และถ้าลามไปจนถึงกระบอกตาก็จะกระทบกระเทือนการมองเห็น เห็นภาพซ้อนได้

    ถ้าลามออกมาอีกเข้ามาถึงต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอต่อมน้ำเหลืองก็จะโตขึ้น เราก็จะพบว่า มีก้อนโตขึ้นที่คอโตเรื่อยๆ ไม่เจ็บไม่ปวด อาจมีก้อนเดียวหรือหลายก้อนก็ได้ ถ้าเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะพบว่ามีอาการเบื่ออาหารน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว

     เนื่องจากอาการเหล่านี้ มักเป็นอยู่เป็นประจำในคนทั่วไป เพียงแต่เป็นชั่วครั้งคราวเป็นบางครั้ง การที่จะเป็นนานขึ้นบ้างจึงทำให้คนส่วนมากไม่ได้เอะใจว่าตนเองกำลังเป็นโรคที่ร้ายแรงอยู่ จึงมักจะมาพบแพทย์เมื่อมีก้อนขึ้นที่คอและเอาชิ้นเนื้อไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็งนั่นเอง

KBAC : Krabi Polytechnic And Business Administration Collage.
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ
ขอบคุณบทความจากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

"มะเร็งหลังโพรงจมูก" ช่วงที่ 1

     โรคมะเร็งเป็นโรคที่น่ากลัวมาก เนื่องจากเมื่อเป็นแล้วถ้าไม่ใช่ในระยะแรกๆ มักจะรักษาไม่หาย และจะเสียชีวิตเสมอ มีโรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่ไม่ค่อยได้พบนัก แต่ถ้าพบแล้ว ก็มักจะเป็นระยะสุดท้าย หรือเกือบสุดท้ายเสียทุกที นั่นคือมะเร็งหลังโพรงจมูก

     โพรงจมุกของคนเราคือส่วนที่อยู่หลังจากจมูกของเข้าไปข้างใน จมูกคนเรามักจะดูเป็นสันขึ้นไปทางด้านบน (นอกจากคนที่จมูกแฟบมากๆ) แต่ความจริงแล้ว โพรงจมูกกลับเป็นเสมือนห้องใต้หลังคามากกว่าลองจินตนาการดูห้องใต้หลังคาในหนังฝรั่งที่จะมีทางเข้าเป็นบันไดลิงให้ไต่ผ่านทางเข้าเล็กเข้าไปในห้อง และเมื่อเข้าไปภายในก็จะพบห้องที่กว้างใหญ่จมูกเราก็เช่นเดียวกัน เป็นทางเข้าเล็กๆ คว่ำลงแต่ข้างในกลับเป็นห้องคล้ายๆ กระโจม พื้นห้องคือเพดานปาก (ซึ่งเปรียบเสมือนหลังคาของห้องข้างล่างคือโพรงปากนั่นเอง) ส่วนหลังคาบ้านคือปลายกระโจมก็จะเข้าไปยังสมองได้ทันที

     ด้านข้างๆ ของกระโจม หรือบริเวณแก้มสองข้างของเราเป็นห้องที่อยู่ติดกัน เชื่อมกันด้วยทางเชื่อมเล็กๆ บริเวณผนังด้านข้างของโพรงจมูก ที่มีส่วนเชื่อมต่อไปถึงช่องหูชั้นกลางด้วยที่เรียกกันว่าหลอดยูสเตเชื่ยน เลยจากโพรงจมูกไป เป็นช่องกว้างที่จะพาเราไปสู่โพรงหลังจมูก เข้าไปต่อกับช่องปากทางด้านหลัง เข้าไปยังคอและกล่องเสียงตามลำดับ ส่วนหลังของโพรงจมูกต่อไปกับส่วนของโรงจมูกนี้เองคือส่วนที่เรากำลังจะเรียนรู้กันเนื่องจากบางครั้งเกิดมะเร็วขึ้นในบริเวณนี้

KBAC : Krabi Polytechnic And Business Administration Collage.
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ
ขอบคุณบทความจากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

"เสรีภาพศาสนาในสังคมยุโรป" ตอนที่ 3 (ตอนจบ)

เสรีภาพศาสนาในสังคมยุโรป ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
     จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่น้องมุสลิมะห์ในต่างแดนนั้น ในหลายประเทศแถบยุโรป เมื่อเราย้อมมาดูที่เมืองไทยก็ "อัลฮัมดุลิ้ลลาห์" อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเมตตาเราเหลือเกินที่ให้เกิดในแผ่นดินที่ไม่ได้กีดกันข้อปฏิบัติของอิสลาม ส่วนใหญ่มุสลิมะห์ไทยนิยมใช้ผ้าคลุมผมซึ่งถึอว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีหญิงมุสลิมไทยบางส่วนแต่งกายด้วยชุดสีดำ คลุมผมคลุมหน้าเห็นแต่ลูกนัยน์ตา (บางครั้งถึงขั้นมีผ้าบางๆ ปิดที่ตาด้วย) ซึ่งประเทศไทยถือว่าเป็นเสรีภาพในการแต่งกายตามความเชื่อทางศาสนา

     สำหรับคนไทยต่างศาสนิกส่วนหนึ่งก็จะกังขากับการแต่งกายของมุสลิมะห์ เกิดความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ปิดบังอำพรางใบหน้าและรูปโฉม ง่ายต่อการก่อการร้าย การปลอมตัวได้ แต่กระนั้นแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนในความเป็นมนุษย์ (ที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้) เพราะการแต่งกายไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะวัดว่าใครเป็นคนดีหรือไม่ดี มันเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีข้อปฏิบัติอื่นๆ อีกของอิสลามที่เราต้องปฏิบัติ สิ่งสะท้อนให้เห็นได้ชัดคือความเสรีของโลกที่มีเพิ่มขึ้นประชาธิปไตยที่เพิ่มขึ้นในสิทธิเสรีภาพที่เบ่งบาน ยิ่งในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างฝั่งยุโรป เหล่านี้กับสวนทางกับสิทธิของมุสลิมซะเหลือเกิน ทั้งนี้เราก็ต้องย้อนมาพิจารณาว่ามุสลิมะห์ฝรั่งนั้น เป็นแบบอย่างมุสลิมสมบูรณ์แบบ แต่งกายตามหลักศาสนา แต่ถูกกฎหมายบ้านเมืองที่เขาอาศัยอยู่กีดกัน เสรีทางศาสนา แต่ถูกกฎหมายบ้านเมืองที่เขาอาศัยอยู่กีดกัน แต่สำหรับมุสลิมะห์ไทยเรานี้อยู่ในประเทศที่ไม่กีดกัน เสรีทางศาสนา สามารถแต่งกายได้ทุกรูปแบบแล้วเราจะปลี่อยโอกาศนี้ผ่านเลยไปหรือ? ปล่อยกระแสแฟชั่นเกาหลีมาแทนที่กระนั้นหรือ? วันนี้คลุมฮิญาบแล้วหรือยัง? ทำตัวอยู่ในหนทางแห่งความทรงพอพระทัยขององค์อัลลอฮฺ (ซบ.) แล้วหรือยัง?

KBAC : Krabi Polytechnic And Business Administration Collage.
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ
ขอบคุณบทความจากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

"เสรีภาพศาสนาในสังคมยุโรป" ตอนที่ 2

เสรีภาพศาสนาในสังคมยุโรป ตอนที่ 2
     ไม่เฉพาะในฝรั่งเศสเท่านั้นที่ไม่ยอมรับมุสลิมใส่ผ้าคลุมฮิญาบ (บุรก้า) แต่ในประเทศอิตาลี สเปน เบลเยี่ยม เดนมาร์ก อังกฤษ เนเธอแลนด์ ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซีย หรืออาจทั้งหมดในแถบยุโรปก็เป็นไปได้ เช่น ในประเทศเดนมาร์ก ที่รัฐบาลได้ออกประกาศว่าห้ามการแต่งกายทางศาสนาทุกอย่างเมื่อเข้ามาในห้องพิจารณาของศาล ซึ่งพรรคการเมืองพรรหนึ่งเรียกร้องให้ใช้กฎนี้กับครูและบุคลากรทางการแพทย์ด้วย ในเบลเยี่ยมรัฐบาลท้องถิ่นใช้กฎเดิมที่ห้ามคนปิดบังหน้าตาตัวเองเพื่อความปลอดภัยในที่สาธารณะในออสเตรีย กำลังพิจารณาเรื่องนี้หากมีหญิงมุสลิมแต่งตัวคลุมหน้าตากันมากขึ้น เช่น เดียวกับในสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนในเยอรมนีเมื่อปี 2546 ศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ครูมุสลิมใช้ผ้าคลุมผมไปสอนได้ และอนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นในรัฐต่างๆ ออกกฎเฉพาะห้ามข้าราชการและครูมุสลิมใช้ผ้าคลุมผมได้ ในรัสเซียห้ามหญิงมุสลิมคลุมผมเวลาถ่ายรูปติดหนังสือเดินทาง และล่าสุดเมืองบาร์เซโลน่าประเทศสเปน ที่ออกกฎเหล็กห้ามสตรีสวมผ้าคลุมศรีษะเดินในอาคารสาธารณะโดยอ้างว่าการสวมผ้าคลุมศรีษะเป็นการลิดรอนเสรีภาพของสตรี เมืองเลอริดาในคาตาโลเนียและรัฐอื่นๆ แถบตะวันออกเฉียงเหนือ ห้ามหญิงมุสลิมสวมบุรก้าแต่งกายแบบมิดชิดและยังต้องการให้รัฐบาลออกกฎให้ทั่วประเทศปฏิบัติตามในการห้ามหญิงมุสลิมสวยบุรก้า บางรัฐในเยอรมันได้มีการห้ามครูโรงเรียนรัฐบาลคลุมฮิญาบอยู่แล้ว ซึ่งกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้นประธานาธิบดีนิโคลา ซาร์โกซี่แห่งฝรั่งเศส กำลังผลักดันให้ออกกฎหมายห้ามคลุมบุรก้าเช่นกัน แต่ขั้นตอนยังไม่ผ่านรัฐบาลและรัฐสภา หากผ่านกฎหมายนี้ก็คงออกใช้บังคับโดยกฏหมายที่ร่างดังกล่างมีการกำหนดบทลงโทษสำหรับมุสลิมะห์ หรือสตรีทั่วไป ที่ต้องการปกปิดเรือนร่างของตนให้พ้นจากความชั่วร้ายของเพศตรงข้ามไว้อย่างรุนแรง โดยหากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกปรับเป็นเงินตั้งแต่ 20-35 เหรียญสหรัฐ (700-1,200 บาท) และอาจถูกจำคุกอีก 7 วันด้วย

     จากการออกกฎหมายห้ามในแถบยุโรปนั้น ก็จะเป็นได้ว่าสาเหตุหลักๆ ในการออกกฎห้าม ก็จะมีอยู่ไม่กี่ประเด็นส่วนหนึ่งก็จะอ้างเรื่องความปลอดภัย เราก็พอจะรับฟังได้แต่ข้ออ้างที่มองว่าผู้หญิงที่คลุมศรีษะปิดหน้าปิดตาเป็นการลดคุณค่าความเป็นสตรี เหตุผลนี้ก็ขัดกับความรู้สึกพวกเราฝั่งเอเชียหน่อย พวกฝรั่งเหล่านี้พยายามยกเรื่องเสรีภาพเพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตัวเองว่าจะทำอะไรก็ได้เวลาเราไปเที่ยวทะเลก็จะเห็นเสรีภาพของฝรั่งว่าจะถอดเสื้อผ้านอนเปลือยกายตรงไหนก็ได้ตามชายหาด จะใส่บิกินนี่กี่ชิ้นก็ได้ตามใจฉัน แต่พอเห็นสตรีแต่งกายมิดชิดกลับไม่ให้เสรีภาพคนเหล่านั้นกลับมาออกกฎห้าม ทั้งที่เป็นการปกปิดไม่ให้สัดส่วนหรือความงามบนใบหน้าหรือเส้นผมไปกระตุ้นอารมณ์ผู้ชาย ข้อจำกัดเหล่านี้เราก็คงไปทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะเป็นบ้านของเขากับชาวยุโรปคิดแบบนี้มาช้านาน

KBAC : Krabi Polytechnic And Business Administration Collage.
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ
ขอบคุณบทความจากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

"เสรีภาพศาสนาในสังคมยุโรป" ตอนที่ 1

เสรีภาพศาสนาในสังคมยุโรป ตอนที่ 1
     เสรีภาพในสังคมเป็นสิ่งสำคัญต่อบรรดาศาสนาของทุกศาสนา ความชอบในศาสนา หรือการต่อต้านศาสนาในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเชิงเหตุผล หรือแนวทางปฏิบัติ สำหรับแนวทางปฏฺบัตินั้นก็ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่และเป็นเรื่องที่ค้างคาหนักอกของพี่น้องมุสลิมเราในต่างแดนเกี่ยวกับการคัดค้านของกลุ่มประเทศแถบยุโรปที่มีการต่อต้านออกมาอย่างถี่ยิบตามหน้าหนังสือทั่วทุกมุมโลกเกี่ยวกับการต่อต้านผู้หญิงมุสลิมที่ใส่ผ้าคลุมฮิญาบ (บุรก้า) ในที่สาธารณะ หนำซ้ำบางประเทศยังจะออกกฎอย่างเป็นทางการถ้าหากใครใส่จะถูกปรับและจำคุก

     ปัจจุบันปัญหาเกี่ยวกับพี่น้องมุสลิมเราในต่างแดนที่เกิดข้อครหาจากการใส่ผ้าคลุมมักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เหตุดังกล่าวก็เกิดจากเสรีภาพทางศาสนาที่ถูกปิดกั้นและเกิดขึ้นพับพี่น้องมุสลิมเรา เช่นประเทศฝรั่งเศส มีประชากรมุสลิมประมาณ 5 ล้านคน ในจำนวนประชากรทั้งหมด 63 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่อพยพมาจากแอฟริการเหนือ เช่น โมรอคโค ซึ่งเคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสมาก่อน เพื่อไปหางานทำตั้งหลักแหล่งหลายชั่วอายุคน ก่อนนั้นก็ไม่มีปัญหา แต่ระยะหลังมีผู้หญิงมุสลิมกลุ่มหนึ่งกว่า 2,000 คน นิยมแต่งตัวปิดบังร่างกายมิดชิดเหลือแต่ลูกตาเท่านั้น แม้แต่เล่นกีฬาก็ยังแต่งตัวดังกล่าว จนเป็นที่ขัดหูขัดตาของคนฝรั่งเศสแท้ๆ

KBAC : Krabi Polytechnic And Business Administration Collage.
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ
ขอบคุณบทความจากหนังสือพิมพ์รายเดียว "กัมปงไทย"

"วิสัยทัศน์" VISION OF KBAC





นำโรงเรียนกระบีโปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจสู่การเป็นโรงเรียนต้นแบบโดยมุ่งผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพทั้งในด้านควารู้ความสามารถและด้านคุณธรรมอีกทั้งใช้ศักยภาพทั้งหมดที่มีอยู่ในอันที่จะทำให้เกิดประโยชน์ รวมทั้งมีส่วนในการพัฒนาชุมชนและสังคมโดยรวม....

"พันธกิจ" MISSION OF KBAC





- จัดกาเรียนการสอนระดับอาชีวศึกษาในทุกสาขาอย่างมีระบบและมีคุณภาพในระดับสากล
- ส่งเสริมด้านคุณธรรม โดยจัดให้มีการเรียนการสอนจริยธรรม
- ให้มีการใช้เทคโนโลยีทีทันสมัยในการเรียนการสอน
- ใช้ศักยภาพของโรงเรียนในทุกๆ ด้านเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

{KBAC}ประกาศ : "ละศีลอดร่วมกัน" ณ โรงเรียนกระบีโปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ

อัสลามูอาลัยกุม
ขอความสันติสุข ความเจริญจงมีแด่พี่น้องมุสลิมีนและมุสลีมะห์ทุกท่าน


กิจกรรมภาควิชาจริยธรรม : โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ

ขอเชิญคณะครูทุกท่านร่วมละศีลอดร่วมกัน ณ โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ และในการนี้ทางโรงเรียนขอให้นักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรมการ "ละศีลอดร่วมกัน" ในครั้งนี้ด้วย

กิจกรรมจัดขึ้นในวันอังคารที่ 7 กันยายน 2553 ณ โรงอาหาร โรงเรียนกระบีโปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ ตั้งแต่เวลา 16.30 น. เป็นต้นไป


ภาควิชาจริยธรรม
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ
Krabi Polytechnic And Business Administration Collage : KBAC
วัสสลาม

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"History" ประวัติโรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ KBAC

ความเป็นมา
สืบเนื่องจากการร่วมให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยสึนามิในเขตพื้นที่อันดามัน ในปลายปี พ.ศ. 2547 ซึ่งนำโดยอาจารย์ปรีชา ศรีสง่า จึงทำให้ทราบว่าการจัดการศึกษาในพื้นที่ยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะด้านอาชีวศึกษากอปรกับมเสียงเรียกร้องจากสังคม จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีประสบการณ์ทั้งด้านบริหารและด้านวิชาการ รวมทั้งทำงานด้านสังคมมายาวนาน ได้ร่วมกันจัดตั้งโรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจขึ้น โดยเริ่มเปิดนปีการศึกษา 2550 และมีนโยบายแน่วแน่ที่จะผ่ลิตบุลากรที่มีความรู้ ความสามารถเพื่อตอบสนองการพัฒนาในทุกสาขา โดยเฉพาะการปลูกฝังด้านคุณธรรมจริยธรรมแก่เยาวชนซึ่งถือได้ว่าเป็นรากฐานที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนของสังคมไทย...

ฝ่ายประชาสัมพันธ์
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ {KBAC}
Krabi Polytechnic And Business Administration Collage.

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"อบรม" KBAC : โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางการท่องเที่ยว

โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางการท่องเที่ยว โดยภาควิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แผนกวิชาบริหารธุรกิจ โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ (KBAC)

KBAC จัดโครงการอบรมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางการท่องเที่ยวในวันที่ 21 กรกฎาคม 2553 ณ ห้องประชุมอันดามัน โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ

ด้วยโครงการนี้ตะหนักถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดกระบี่ที่มีความจำเป็นต้องให้ความรู้ความเข้าใจต่อบุคลากรในด้านดังกล่าวในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างถูกต้องตามหลักสากล

ประมวลภาพการจัดโครงการ
การเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย
การปฐมพยาบาล
การเตรียมอุปกรณ์การกู้ภัย
การเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย
การปฐมพยาบาลก่อนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาล


ข่าวสารจาก : แผนกวิชาบริหารธุรกิจ
ภาควิชาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ (KBAC)

KBAC : "โครงการทัศนศึกษาภาคกลาง"

KBAC(โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ):
จัดโครงการทัศนศึกษาภาคกลางในเส้นทาง : อยุธยา-ปทุมธานี-กรุงเทพฯ-สมุทรสงคราม-เพชรบุรี
ระหว่างวันที่ 23-26 กรกฎาคม 2553 ภาควิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ (KBAC)
ภาพการดำเนินกิจกรรมโครงการทัศนศึกษาดูงานภาคกลาง 23-26 กรกฎาคม 2553
ลงนามถวายพระพร "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช"
ศึกษาแผนที่การเดินทัศนศึกษาดูงาน
ศึกษางานฝึมือ
ทดลองการทำงานฝีมือ
ผ่อนคลายที่สวนสนุก "ดรีมเวิร์ล"
ข่าวสารจาก : แผนกวิชาบริหารธุรกิจ
ภาควิชาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ (KBAC)

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เส้นทางสู่ "KBAC"


ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น


BY : ฝ่ายประชาสัมพันธ์สถานศึกษา
KBAC : Krabi polytechnic and Business administration collage.
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"กิจกรรม : กิจกรรมต้อนรับเดือนรอมาฎอน และ กิจกรรมวันแม่"

กระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ (KBAC)
จัดกิจกรรมต้อนรอมาฎอน และกิจกรรมวันแม่ ณ ห้องประชุมอันดามัน โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ
ประมวลภาพการจัดกิจกรรมต่างๆ ภายในวันที่ 11 สิงหาคม 2553
(ตามกำหนดการที่ระบุไว้)

พิธีเปิดงาน
บรรยากาศก่อนการเปิดงาน-นักศึกษาทยอยเข้าห้องประุชุม "อันดามัน"

ท่านผู้อำนวนการโรงเรียน และคณะ

การแสดงละคร "คุณค่าน้ำนม"
นักศึกษาภาควิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แผนกวิชาบริหารธุรกิจ

ท่านผู้อำนวนการ-มอบรางวัลแด่นักศึกษาที่เขียนเรียงความเข้าประกวด



ฝ่ายกิจการนักศึกษาและฝ่ายวิชาการ
กระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ
(Krabi Polytechnic And Business Administration Collage : KBAC)

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประกาศ "กำหนดวันสอบปลายภาค 1/2553"

กำหนดวันสอบปลายภาคประจำปีการศึกษา 2553 ภาคเรียนที่ 1 ของนักศึกษาโรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ
-สอบปฏิบัติวันที่ 13-17 กันยายน
-สอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1/53 วันที่ 20-24 กันยายน



ฝ่ายวิชาการ
Krabi Polytechnic And Business Administration Collage
กระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชียของไทยปี 53"

มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของเอเชียประจำปี 2553 มีมหาวิทยาลัยของไทยติดอยู่ใน 200 อันดับดังนี้
-มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นอันดับที่ 28
-จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันดับที่ 44
-มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อันดับที่ 79
-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันดับที่ 91
-มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อันดับที่ 101
-มหาวิทยาลัยขอนแก่น อันดับที่ 122
-มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อันดับที่ 126

โดย : กระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ (KBAC)

"55 สถาบันอาชีวที่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานปี 52"

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม นายสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เปิดเผยผลการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสองของสถานศึกษาอาชีวศึกษา ว่า จากสถานศึกษาอาชีวะทั่วประเทศ 805 แห่ง แบ่งเป็น รัฐ 419 แห่ง และเอกชน 389 แห่ง สมศ.ได้ประเมินแล้ว 549 แห่ง คิดเป็น 68.20% ของสถานอาชีวะทั้งหมด ทั้งนี้ จาก 549 แห่ง เป็นวิทยาลัยสารพัดช่าง 50 แห่ง ซึ่งใช้คนละมาตรฐาน จึงแถลงผลการประเมินของสถานศึกษาอาชีวะที่ใช้เกณฑ์เดียวกัน 499 แห่ง ดังนี้ สถานศึกษาอาชีวะที่ได้รับการรับรองมาตรฐานของ สมศ. 423 แห่ง คิดเป็น 84.77% จำแนกเป็น วิทยาลัยของรัฐ 302 แห่ง โรงเรียนเอกชน 121 แห่ง มีสถานศึกษาอาชีวะที่ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐาน 55 แห่ง คิดเป็น 11.02% จำแนกเป็น วิทยาลัยของรัฐ 23 แห่ง โรงเรียนเอกชน 32 แห่ง รอพินิจ 21 แห่ง คิดเป็น 4.21% จำแนกเป็น วิทยาลัยของรัฐ 10 แห่ง โรงเรียนเอกชน 11 แห่ง

สำหรับสถานศึกษาอาชีวะที่ไม่ได้รับรองมาตรฐาน 55 แห่ง ได้แก่
ร.ร.คฤหบริหารธุรกิจ ร.ร.ช่างสำรวจนครปฐมและเทคโนโลยี ร.ร.ชุมพรบริหารธุรกิจ ร.ร.ชุมแพบริหารธุรกิจเทคโนโลยี ร.ร.เซนต์โยเซฟอินเตอร์เทคโนโลยี ร.ร.เทคนิคธุรกิจบัณฑิต ร.ร.เทคนิคพณิชยการนครกระบี่ ร.ร.เทคนิคพณิชยการพิษณุโลก ร.ร.เทคโนโลยีกมลาไสย ร.ร.เทคโนโลยีขอนแก่น ร.ร.เทคโนโลยีบริหารธุรกิจเปรมฤทัย ร.ร.เทคโนโลยีปทุมธานี ร.ร.เทคโนโลยีพณิชยการนครนายก ร.ร.เทคโนโลยีเลยบริหารธุรกิจ ร.ร.เทคโนโลยีวีรพัฒน์ ร.ร.นครเทคนิค ร.ร.นครอาชีวศึกษา ร.ร.บริหารธุรกิจภาคใต้ ร.ร.บัวใหญ่เทคโนโลยีพณิชยการ ร.ร.โปลีเทคนิคอุดรธานี ร.ร.พณิชยการชลบุรี ร.ร.พณิชยการทุ่งสง ร.ร.พณิชยการธัชรินทร์ ร.ร.พณิชยการปราจีนบุรี ร.ร.พณิชยการเพชรบุรี ร.ร.พณิชยการภาษานุสรณ์บางแค ร.ร.รักธรรมบริหารธุรกิจ ร.ร.วราธิปบริหารธุรกิจ ร.ร.วัฒนพฤกษาบริหารธุรกิจ ร.ร.วิศวกรรมเทคโนโลยีบริหารธุรกิจ ร.ร.ส่องแสงพณิชยการ ร.ร.อินเตอร์เทคโนโลยีแห่งเอเชีย วิทยาลัยการอาชีพ (วก.) กบินทร์บุรี วก.กันตัง วก.ดอกคำใต้ วก.ด่านซ้าย วก.ท้ายเหมือง วก.นวมินทราชูทิศ วก.เนินขาม วก.บางแก้ว วก.บางสะพาน วก.บำเหน็จณรงค์ วก.ปราณบุรี วก.พุทธมณฑล วก.สระบุรี วก.สองพี่น้อง วก.เสนา วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) ระนอง วษท.สตูล วิทยาลัยเทคนิค (วท.) ดอนเมือง วท.ตรัง วท.ระนอง วท.สมุทรสาคร วิทยาลัยประมงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ และวิทยาลัยอาชีวศึกษาลพบุรี

"รอมาฎอน" เดือนแห่งความประเสริฐของชาวมุสลิม

ในบรรดาเดือนประจำปฎิทินของศาสนาอิสลาม ถือได้ว่า "เดือนรอมาฎอน" เป็นเดือนที่ประเสริฐมากเพราะเป็นเดือนที่พระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) ทรงประทานพระมหาคัมภีร์อัลกรุอานลงมาผ่านเทวฑูตให้กับท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซล.)

พวกเราในนาม...โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ (KBAC) มีความยินดีอย่างยิ่งที่เดือนรอมาฎอนเวียนมาบรรจบอีกครั้งและเราชาว KBAC ได้อยู่ปฎิบัติศาสนกิจที่พระองค์ทรงสั่งให้ปฎิบัีติเหมือนกับทุกๆ ปีที่ผ่านมา และขอให้พระองค์ทรงเปิดใจบ่าวของพระองค์ทุกคนให้อยู่ในแนวทางที่พระองค์ทรงโปรดปราน อยู่บนหนทางแห่งการอีหม่านการอีมานะห์ด้วยเทิอด

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"PHILOSOPHY OF KBAC" ปรัชญาของ KBAC

>>ศึกษา ศรัทธา พัฒนาสังคม<<
ศึกษา>>LEARNING
การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของชีวิต ทุกคนจึงต้องแสวงหาและความรู้ที่ดีนั้นจะต้องทำให้เกิดความเจริญงอกงามทั้งทางกายและจิตใจ เกิดการพัฒนาทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
Learning is base of life. Everybody has to persevere in studies and good knowledge will supposedly develop both your mind and soul, for the sake of oneself and other people.

ศรัทธา>>BELIEVING
ศรัทธานั้นจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความรู้ การเรียน การซึมซับจากผู้ที่มีความรู้และเป็นแบบอย่างที่ดี จะเป็นการสร้างศรัทธาได้ อย่างยั่งยืน และนำไปสู่การสร้างสังคมแห่งคุณธรรม
Believing must be based on knowledge. To learn and be instilled from skillful instructors as role models, it will sustainably create "Believing" and lead to the society of morals at the end.

พัฒนาสังคม>>DEVELOPING
การมีชีวิตเื่พื่อผู้อื่นเป็นคุณธรรมชั้นสูง ฉะนั้นความรู้ที่มีอยู่ นอกจากจะใช้เพื่อพัฒนาตนเองแล้ การใช้เพื่อให้เกิดการพัฒนาแก่ผู้อื่นต่อสังคมจึงมีความสำคัญยิ่ง
To live for the benefits of other people is the greatest morals of all. Thereore, apart from applying the knowledge to improve oneself, apply the knowledge to improve other people and the society as well to make the best out of it.

 

ฝ่ายประชาสัมพันธ์
::Krabi Polytechnic And Business Administration Collage.
กระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ

"KBAC" หากคุณยังไม่รู้จักเรา



KBAC : เราอยากให้คุณร่วมสร้างอนาคตทางการศึกษาที่ดีกับเรา
Krabi Polytechnic And Business Administration Collage.

"ประกาศ" ขออภัยในความไม่สะดวกขณะนี้เว็บไซต์ของเราอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา

ประกาศ-โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ
(โรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนที่เน้นคุณธรรมจริยธรรมให้กับนักศึกษา)
---------------------------------------------------------------------------
เนื่องด้วยเว็บไชต์ของโรงเรียนกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาและ
การปรับปรุงให้กลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักศึกษาและประชาชน
ทั่วไปในการใช้เ็ป็นเครื่องมือในการติดตามความเคลื่อนไหวของ
โรงเรียนกระบีโปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ-รวมถึงข่าวประชาสัมพันธ์
ต่างๆ ของทางโรงเรียนด้วย

โดย : KBAC
Krabi Polytechnic And Business Administration Collage.
เราหวังว่าท่านติดตามความเคลื่อนของเราตลอดไปนะครับ...

บรรยากาศของ KBAC

อาคารเรียน 4 ชั้น (พร้อมมอบความรู้ความสามารถ) ให้กับเยาวชนทุกคน
(พร้อมห้องละหมาด)


บรรยากาศเวลาว่าง มุมอ่านหนังสือ
รองรับให้กับทุกความต้องการ


อาคารเรียนของแผนกช่างพร้อมรองรับการเรียน-การสอนทุกสาขา
ที่โรงเรียนเปิดสอน

อีกหนึ่งมุมมอง (ศึกษาดูงานนอกสถานศึกษา)
ถือเป็นการศึกษาจากประสบการณ์ในชีวิตจริง

รางวัลแห่งการตั้งใจศึกษาเล่าเรียน-หาความรู้
จากโรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ (KBAC)
เราอยากเห็นเยาวชนของประเทศไทยทุกคนมีความรู้-ความสามารถ มีการกล้าแสดงออกในทางที่ดี
ไม่สร้างปัญหาและความเดือดร้อนให้แก่สังคม พร้อมออกสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ
อีกทั้งเป็นคนที่มีคุณธรรม-จริยธรรมควบคู่กันไป
 

"Krabi Polytechnic And Business Administration Collage"

KBAC
โรงเรียนกระบี่โปลีเทคนิคและบริหารธุรกิจ
ที่อยู่ของโรงเรียน คือ 500 ม.6 ถ.เลียบคลองชลประทาน ต.เหนือคลอง อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ 81130
โทรศัพท์. 075-691888
โทรศัพท์เคลื่อนที่. 086-6829214
อยากเห็นเยาวชนเป็นคนดี
มีน้ำใจไมตรีมีการศึกษา
รักท้องถิ่น รักวัฒนธรรมดั้งเดิมมา
รักศาสนา ยึกมั่นศรัทธา ร่วมพัฒนาสังคมไทย

เราจะทำทุกอย่างเพื่ออนาคตของเยาวชนเพื่อให้เขาเป็นคนดี มีคุณธรรม มีความรู้ มีความสามารถในการแก้ไขปัญหา การใช้เทคโนโลยี มีสุขภาพกาย สุขภาพจิตดี เป็นพลเมืองที่ดี ยึดมั่นในศาสนา ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขรวมทั้งมีจิตใจสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข

นึกถึงอนาคตทางการศึกษาของบุตรหลานท่าน นึกถึง "เคเบค" สิ